รายการกลุ่มที่ 1 : เมล็ดกาแฟ
การจะเสิร์ฟเมนูกาแฟที่ถูกใจคนหมู่มาก ไม่เพียงอาศัยแค่ฝีมือของบาริสต้าอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟที่ใช้ใน House Blend หรือเมล็ดเบลนด์หลักที่ใช้ใน Speed Bar ของที่ร้าน
ขอแนะนำว่า ในการเลือกเมล็ดกาแฟ House Blend สำหรับร้าน หากต้องการเลือกใช้กาแฟเบลนด์เดียว ควรเลือกเมล็ด House Blend ที่ใช้งานได้หลากหลาย เช่น สามารถชงเป็นกาแฟดำได้อร่อย แต่เมื่อนำไปชงเป็นเมนูนมก็กลมกล่อม หรือเมนูที่ใช้เอสเพรสโซ่เป็นส่วนผสมก็ต้องได้รสชาติที่ลงตัว รวมถึงเมนูที่ต้องผสมกับวัตถุดิบอื่น ๆ เช่น ไซรัป หรือถ้าหากนำไปทำเป็นเมนูเย็นหรือปั่นแล้ว ก็ต้องคงรสชาติของกาแฟ ไม่อ่อนเกินจนโดนวัตถุดิบอื่น ๆ กลบ หรือเข้มขมจนดื่มยาก
หรือหากร้านไหนต้องการมี House Blend สองแบบสำหรับชงกาแฟดำ และชงกาแฟผสมนม ทางเราแนะนำให้มีเครื่องบด 2 เครื่องที่แยกเมล็ดกาแฟ เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นของกาแฟทั้ง 2 เบลนด์นั้นมาปนกัน
นอกจากนี้ ที่ร้านควรมีเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนประมาณ 2-3 ชนิดสำหรับชงเมนูกาแฟดริปให้กับลูกค้า Slow Bar ซึ่งควรบดด้วยเครื่องบดคนละเครื่องกับ House Blend เพื่อไม่ให้กลิ่นของเมล็ดกาแฟที่คั่วสำหรับ Espresso นั้นมาปนกับเมล็ดกาแฟที่คั่วสำหรับดริปด้วย
รายการกลุ่มที่ 2 : น้ำที่ดีและเหมาะ
หากใครคิดว่าเมล็ดกาแฟเป็นเรื่องสำคัญแล้ว บอกเลยว่า “น้ำ” เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า เพราะรู้หรือไม่? คุณภาพของน้ำที่ใช้ในการชงกาแฟนั้นเป็นตัวกำหนดรสชาติไปแล้วกว่า 96% โดยน้ำที่นำมาชงกาแฟต้องมีปริมาณแร่ธาตุที่เหมาะสม ตลอดจนมีค่า pH และ TDS ที่เหมาะในแต่ละเมนูเช่นกัน ซึ่งหากใครยังไม่เคยรู้จักค่า pH และ TDS เลยนั้น เราจะขออธิบายให้เข้าใจคร่าว ๆ ดังนี้
- ค่า pH คือ ค่าความเป็นกรดและเบส ซึ่งน้ำที่เหมาะสำหรับการชงกาแฟควรจะอยู่ที่ 7
- ค่า TDS หรือ Total Dissolved Solids คือ ค่าที่บอกปริมาณสารแขวนลอยในน้ำ เช่น แร่ธาตุต่าง ๆ และ ไอออน เป็นต้น โดยค่า TDS นี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางของรสชาติกาแฟแต่ละแก้วเลยก็ว่าได้ โดยค่า TDS ที่เหมาะสม
สำหรับอุปกรณ์ร้านกาแฟอย่างเครื่องชงกาแฟจะอยู่ที่ 50-100 PPM
รายการกลุ่มที่ 3 : วัตถุดิบ สำหรับใช้ชงเครื่องดื่ม
นอกจากเครื่องดื่มกาแฟแล้ว การมีเครื่องดื่มอื่น ๆ รวมถึง Non Coffee Menu ติดร้านเอาไว้ก็ช่วยตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่ไม่สามารถดื่มกาแฟได้ รวมไปถึงลูกค้าที่ต้องการเครื่องดื่มสบาย ๆ ในแต่ละช่วงของวันด้วย โดยอุปกรณ์ชงกาแฟพื้นฐานสำหรับเมนูอื่น ๆ นอกเหนือจากเมนูกาแฟนั้นจะประกอบไปด้วย
- ไซรัปกลิ่นต่าง ๆ
- ซอสกลิ่นต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ
- ผงปั่น หรือ ผงเฟรปเป้
- ผงมัทฉะ หรือผงชาอื่น ๆ
- ผงโกโก้
- ใบชา
วัตถุดิบเพื่อการตกแต่งอื่น ๆ เช่น โรสแมรี เลมอน มะนาว และผลไม้ตามที่ชอบ
รายการกลุ่มที่ 4 : อุปกรณ์ชงกาแฟหน้าบาร์
เมื่อเราคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่ดีและลงตัว มีความรู้พร้อมควบคุมคุณภาพน้ำให้เหมาะสมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลามาเตรียมอุปกรณ์ชงกาแฟหน้าบาร์กัน
ซึ่งในปัจจุบันนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเพื่อเสริมความโดดเด่นให้กับร้านมากยิ่งขึ้น ธุรกิจร้านกาแฟส่วนใหญ่จึงแบ่งโซนการชงกาแฟ
ออกเป็น 2 โซนหลัก คือ สปีด บาร์ (การชงกาแฟด้วยเครื่อง) และ สโลว์ บาร์ (การชงด้วยเทคนิคและแรงของคนชง)
ซึ่งการเตรียมอุปกรณ์แต่ละส่วนนั้นจะแตกต่างกันไป ดังนี้
***อุปกรณ์สำหรับ สปีดบาร์
สปีดบาร์ คือ โซนกาแฟที่เน้นความเร็วในการสกัดช็อตเอสเพรสโซ่เพื่อนำไปทำเมนูต่าง ๆ เช่น อเมริกาโน่ ลาเต้ เดอร์ตี้ คาปูชิโน่ และเมนูอื่น ๆ ที่ใช้เอสเพรสโซ่ในการชง โดยอุปกรณ์หลัก ๆ ที่จะใช้ในโซนนี้จะประกอบไปด้วย
1. เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่
2. แทมเปอร์ หรือ ที่กดกแฟ (Tamper)
3. ที่เกลี่ยกาแฟ (Coffee Distributor)
4. ก้านชง และ ตะแกรง (Filter Basket)
5. เครื่องบดกาแฟไฟฟ้า
6. ตาชั่งจับเวลา
7. เครื่องตีฟองนม
8. เหยือกเทฟองนม
9. ที่วัดอุณหภูมิ
10. กาน้ำ
11. ช้อนตักกาแฟ
12. แก้วตวง
13. ถ้วยตวง
***อุปกรณ์สำหรับ สโลว์ บาร์
"สโลว์ บาร์" คือ โซนชงกาแฟที่จะใช้อุปกรณ์ร้านกาแฟแตกต่างจาก "สปีด บาร์" ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ฝีมือและแรงของคนชงในการกำหนดคุณภาพของกาแฟ จึงทำให้ใช้เวลาในการชงที่ค่อนข้างนาน และมีขั้นตอนการชงที่มากกว่า ซึ่งในโซนนี้จะมีอุปกรณ์หลัก ๆ คือ
อุปกรณ์ทำกาแฟดริป เช่น ดริปเปอร์ กระดาษกรอง เหยือกกาแฟ เหยือกเสิร์ฟ กาน้ำสำหรับดริป และอุปกรณ์พิเศษเพื่อใช้สำหรับดริปกาแฟโดยเฉพาะอื่น ๆ
1. เมล็ดกาแฟพิเศษ
2. เครื่องบดกาแฟ (มือหมุน หรือไฟฟ้า)
3. อุปกรณ์ทำกาแฟแบบอื่น ๆ เช่น แอโรเพรส ไซฟอน หรือเฟรนช์เพรส
รายการกลุ่มที่ 5 : อุปกรณ์สำหรับชงเมนูอื่น ๆ นอกจากกาแฟ
นอกจากจะเตรียมอุปกรณ์ชงกาแฟให้ครบถ้วนและพร้อมใช้งานแล้ว อุปกรณ์ร้านกาแฟอื่น ๆ ที่ใช้ชงเครื่องดื่มที่นอกเหนือจากกาแฟก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ควรใส่ใจ ซึ่งเจ้าของร้านกาแฟสามารถเตรียมอุปกรณ์ได้ ดังนี้
1. แปรงชงชา และถ้วยชงชา สำหรับร้านที่เสิร์ฟมัทฉะญี่ปุ่น
2. เครื่องปั่น
3. เครื่องแยกกากน้ำผลไม้
4. เครื่องทำนมถั่ว
5. ตู้น้ำแข็งเพื่อรักษาความสะอาด
6. ตู้แช่เบเกอรี
รายการกลุ่มที่ 6 : อุปกรณ์ทำความสะอาด
อีกหนึ่งอุปกรณ์ร้านกาแฟที่มีความสำคัญไม่แพ้อื่น ๆ ก็คืออุปกรณ์รักษาความสะอาดนั่นเอง เพราะหากร้านไหน
ไม่ดูแลความสะอาดให้ดี ลูกค้าก็อาจไม่เข้ามาใช้บริการต่อก็เป็นได้ ไปดูกันว่าอุปกรณ์ในส่วนนี้มีอะไรบ้าง
1. ผ้ากันเปื้อน และ ถุงมือสำหรับทำกาแฟที่กันความร้อนได้
2. ที่ล้างพิชเชอร์ หรือ ที่ล้างอุปกรณ์แรงดันสูง
3. แปรงปัดผงกาแฟ 3 – 4 ขนาด
4. ผ้าหลายผืนสำหรับเช็ดโต๊ะ, เช็ดเครื่องชงกาแฟ, เช็ดด้ามชง และเช็ดก้านสตีม
5. ผงทำความสะอาด และแปรงทำความสะอาดหัวกรุ๊ปเครื่องชงเอสเพรสโซ่
6. ถังเคาะกากกาแฟ
7. ถุงใส่ขยะ
8. ถังขยะแยกประเภท
รายการกลุ่มที่ 7 : ภาชนะ และบรรจุภัณฑ์
ไม่เพียงแต่จะต้องใส่ใจในรสชาติ การนำเสนอ และเตรียมอุปกรณ์ชงเครื่องดื่มให้พร้อมเท่านั้น ภาชนะอย่างแก้วกาแฟก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย
สำคัญที่ทำให้ลูกค้าเข้าถึงรสชาติ และสัมผัสความอร่อยได้เช่นกัน โดยการเตรียมอุปกรณ์ในส่วนนี้ จะประกอบไปด้วย
1. แก้วสำหรับใช้ในร้าน ควรเน้นไปที่แก้วปากบาง แต่มีความทนทานสูง
2. แก้วสำหรับ Take Away ควรเน้นไปที่แก้วพลาสติกที่ไม่มีกลิ่น แก้วย่อยสลายได้ หรือ แก้วโหลที่สามารถนำมารีไซเคิลได้
3. ฝาแก้วแบบใส่หลอด และแบบยกดื่ม
4. หลอด
5. กระดาษทิชชู่
6. ถุงเพื่อให้ลูกค้าหิ้วกลับ
7. หลอด หรือ ขวดเล็ก ๆ สำหรับใส่ช็อตเอสเพรสโซ่แยก สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการผสมกาแฟลงในเครื่องดื่มทันที
ลิสต์ทั้ง 7 กลุ่ม นี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจร้านกาแฟ และ คนทำกาแฟตามบ้าน สามารถจัดเตรียมอุปกรณ์ชงกาแฟ และเลือกอุปกรณ์กาแฟ
ให้เหมาะสมกับร้านและการชงตามบ้านท่านได้เหมาะสม เพื่อจะสร้างสรรค์เมนูที่พิเศษได้อย่างเต็มที่
หากบาริสต้า และเจ้าของร้านคนไหนสนใจอุปกรณ์ชงกาแฟเพิ่มเติมให้
เข้าไปติดต่อปรึกษาได้ที่ : www.koffeemart.com หรือ Line@ : koffeemart