วิธีการชงกาแฟ หรือ วิธีการสกัดกาแฟ 9 แบบ ทีร้านกาแฟหรือผู้คนที่สนใจเรื่องกาแฟควรรู้ ด้วยเนื่องจากทุกวันนี้กาแฟเป็นสิ่งที่ทุกคนขาดไม่ได้ สำหรับหลายๆ คนที่ต้องดื่มกาแฟทุกวัน หากไม่ได้ดื่มก็เหมือนร่างกายไม่ค่อยสดชื่น ไม่มีเรี่ยวแรง ง่วง หงาว หาว นอน และทำให้ต้องแวะชื้อก่อนไปทำงานกัน จึงทำให้กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ด้วยความนิยมนี้จึงทำให้ผู้คนหันมาสนใจที่จะเปิดร้านกาแฟมากขึ้นตามไปด้วยสำหรับเจ้าของร้านกาแฟ หรือ ผู้คนที่ทั่วไปอาจจะยังไม่รู้ว่า การชงกาแฟมีหลายวิธี นอกจากใช้เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่ ซึ่งแต่ละวิธีก็จะให้รสชาติ ของกาแฟที่แตกต่างกันออกไป
เอสเปรสโซ่ ESPRESSO
วิธีการชงกาแฟที่เกิดจากสิ่งประดิษฐ์ของ อันเจโล โมริออนโด เมื่อปี 1884 จากเครื่องชงกาแฟด้วยไอน้ำ หรือ Espresso Machine หลังจากนั้น ลุยจีเบซเซรา นักประดิษฐ์ชาวอิตาเลียนอีกคน ได้มาสานต่อ และพัฒนาจนกลายเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา
ถือเป็นการชงกาแฟที่เราสามารถพบเห็นได้ทุกวัน ตามร้านกาแฟต่าง ๆ สำหรับการชงประเภทนี้ เป็นการใช้เครื่องชง Espresso Machine ในการใช้แรงอัดไอน้ำ หรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด คือการใช้น้ำน้อยที่สุด จึงทำให้ได้รสชาติกาแฟที่เข้มข้น มีกลิ่นหอมกาแฟแบบชัดเจน จึงถือว่าเป็นการชงที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
โมก้าพอท MOKA POT
Moka pot คือเครื่องชงกาแฟที่คิดค้นขึ้นโดย ลุยจี เดอ ปอนติ ชาวอิตาเลียน การชงประเภทนี้จะได้รับความนิยมอย่างมาก ในหมู่คอกาแฟที่ชอบกาแฟเข้ม ๆ โดยเครื่องโมกาพ็อตนี้เป็นกาทรงสูงทำจากสแตนเลส เป็นที่นิยมในแถบยุโรป และลาตินอเมริกา ทั้งนี้ยังถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์การออกแบบหลายแห่ง ด้วยความที่มีรูปทรงที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์
โดย
วิธีการชง ก็ทำได้โดยการใส่น้ำลงไปในหม้อ ให้ถึงขีดที่แนะนำเอาไว้ ใส่กรวยกาแฟลงไปตามด้วยกาแฟ จากนั้นให้ปิดฝา แล้วนำไปต้มจดได้น้ำที่ร้อน และมีไอน้ำดันให้น้ำพุ่งขึ้นผ่านกาแฟ แล้วทำการปิดไฟ น้ำกาแฟที่เหลือก็จะดันตัวขึ้นมาอยู่ในกาด้านบน ก็จะได้น้ำกาแฟพร้อมดื่มแล้ว

เฟรนช์เพรส (French Press)
เป็นการชงที่ไม่ได้ต่างจากแอโรเพรส ในแง่ของการพึ่งแรงดันอากาศ โดยเครื่องเฟรนช์เพรส จะมีลักษณะเป็นกาสูงให้ใส่เมล็ดกาแฟบด และน้ำร้อนลงไป จากนั้นจึงใส่ตัวกดตะแกรงลงไปค่อย ๆ กดลงจนสุดกา
เป็นการชงกาแฟแบบกด ที่ใช้แค่น้ำกับกาแฟบดโดยตรง เพื่อจะทำให้ได้กาแฟสดที่แท้จริง ได้กลิ่นกาแฟสดชื่น ในวิธีการชงแบบนี้จะต้องใช้เมล็ดกาแฟแบบหยาบ เพื่อไม่ให้เมล็ดกาแฟหลุดผ่านตัวกรองลงมา
กาแฟดริป (Drip)
การชงกาแฟประเภทนี้ ถือเป็นการชงในดวงใจของสายสโลว์ไลฟ์เลยก็ว่าได้ นอกจากกาแฟดริปที่เรารู้จักแล้ว ยังเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า Brewed coffee และ Pour-over coffee เริ่มต้นเมื่อประมาณ ปี 1908 โดย เอมิลี ออกกุสต์ เมลิตทา เบนซ์ ชาวเยอรมันผู้คิดค้นกระดาษกรองกาแฟ (Coffee Filter) ขึ้นมา เพราะในช่วงนั้นการชงแบบเอสเพรสโซ ยังแยกกากได้ดีเท่าที่ควร จนทำให้การชงแบบดริปแพร่หลายไปทั่วโลก
ในปัจจุบันนี้ คอกาแฟทั้งหลายก็เริ่มหันมาดื่มกาแฟแบบดริปมากขึ้น เพราะใช้เวลาไม่นาน ใช้งานง่าย และราคาเข้าถึงได้ เป็นการชงกาแฟผ่านกระดาษกรอง ที่ใช้น้ำร้อนประมาณ 80 องศาเซลเซียส ส่วนการเทน้ำร้อนนั้นอาจขึ้นอยู่กับความเร็ว และเทคนิคของแต่ละคน โดยค่อย ๆ เทน้ำร้อนวนเป็นวงกลมก้นหอย บนกาแฟให้ไหลผ่านกระดาษกรอง และรอให้น้ำกาแฟหยดลงมาบนภาชนะที่รองรับ ซึ่งจะได้รสชาติกาแฟกลาง ๆ ไม่เข้มมาก
ดริปเย็น หรือ โคลดดริป Cold drip
แม้จะยังไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่ากาแฟดริปเย็นมีต้นกำเนิดมาจากไหน แต่กูรูกาแฟหลายสำนักต่างเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะเกิดขึ้นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อันร้อนชื้นที่ผู้คนไม่ชอบดื่มกาแฟร้อนกันเท่าไหร่ จึงคิดค้นหาวิธีที่จะดื่มกาแฟเย็นๆ ขึ้นมาแทน
กาแฟดริปเย็นไม่ได้แตกต่างจากกาแฟดริปปกติแค่การใช้น้ำเย็นมาแทนที่ แต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ที่เข้าใกล้อุปกรณ์ในห้องแล็ปวิทยาศาสตร์มากขึ้นเสียทุกที ทาวเวอร์ 3 ชั้น ประกอบด้วย โหลใส่น้ำก้นเล็กจิ๋ว ประกอบกับวาล์วปล่อยน้ำเป็นหยดๆ ลงมาในส่วนของโหลก้นเปิดในชั้นกลาง ซึ่งมีเมล็ดกาแฟบดและตัวกรองรองอยู่ น้ำจะไหลผ่านกาแฟลงไปยังภาชนะรองรับที่ชั้นล่างสุด โดยขบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ ข้อดีของกาแฟดริปเย็นคือกรดจะอ่อนกว่าชนิดอื่นๆ
กาแฟสกัดเย็น Cold brew
มีจุดเริ่มต้นเมื่อประมาณปี 1600 ซึ่งเป็นยุคที่กาแฟดัตซ์นิยมกันทั่วโลก โดยที่เหล่าพ่อค้าจึงค้นหาวิธีนำกาแฟแบบพร้อมดื่มขึ้นไปบนเรือโดยที่ไม่เสียของ ทางด้านเอเชีย กาแฟสกัดเย็นได้เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นประเทศแรก รู้จักกันในชื่อว่า Kyoto Coffee
การชงกาแฟสกัดเย็นนี้เป็นการชงที่ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ต้องใช่เวลานานกว่าจะได้ลิ้มรสกาแฟ ซึ่งชงหรือสกัดด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ เพียงแค่นำเมล็ดกาแฟบดลงไปในโหล แล้วรินน้ำเย็นตาม จากนั้นก็ปิดฝาโหลทิ้งไว้ข้ามคืน อาจจะนำไปแช่ตู้เย็นก็ได้เช่นกัน ในวันรุ่งขึ้นต้องนำน้ำกาแฟที่ได้ มากรองผ่านกระดาษกรองเพื่อแยกกากกาแฟออก โดยในปัจจุบันนี้สามารถหาดื่มได้ เนื่องจากมีการบรรจุขวดขายตามร้านกาแฟ

กาแฟไซฟอน (Siphon)
Siphon Coffee หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ Vacuum Coffee คือการชงกาแฟสุญญากาศที่ว่ากันว่าถูกคิดค้นขึ้นในกรุงเบอร์ลินประมาณช่วง 1830s แต่ก็มีเสียงแตกบางส่วนที่กล่าวว่ากาแฟไซฟอนนั้นเกิดขึ้นในญี่ปุ่นโดย อะกิระ โคโนะ เมื่อปี 1840 อย่างไรก็ตามกาแฟไซฟอนก็ถือเป็นอีกวิธีชงที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไม่แพ้วิธีอื่นๆ
ด้วยอุปกรณ์ที่ทำให้เราเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเรียนวิทยาศาสตร์ตอนมัธยม การชงกาแฟไซฟอนน่าจะดูตื่นตาตื่นใจที่สุดในบรรดาการชงทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การต้มน้ำให้เดือดจัดในโถลูกแก้วโดยตะเกียงแอลกอฮอล์ ใส่เมล็ดกาแฟบดลงในโถแก้วทรงกระบอกที่มีตัวกรองตรงก้น ประกอบโถกาแฟเข้ากับก้านเครื่องและโถน้ำ น้ำเดือดจะถูกแรงดันผลักขึ้นไปบนโถกาแฟทรงกระบอกโดยใช้หลักการคล้ายกับวิธีกาลักน้ำ และเมื่อปิดไฟตะเกียง กาแฟจากโถกระบอกก็จะไหลลงสู่โถลูกแก้วเป็นอันพร้อมดื่ม ข้อดีของการชงแบบนี้คือ กลิ่นหอมที่ชัดเจน แต่ความเข้มข้นยังห่างเอสเพรสโซอยู่มาก
กาแฟแอโรเพรส (Aeropress)
การชงกาแฟแบบแอโรเพรส ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2005 โดยนักฟิสิกส์ อลัน แอดเลอร์ (Alan Adler) ผู้คิดค้นเครื่องแอโรเพรสที่มีลักษณะเป็นท่อ 2 ชิ้นประกอบกันเหมือนไซริงก์ ซึ่งรสชาติของกาแฟจะเข้มข้นใกล้เคียงกับการชงแบบเอสเพรสโซ
เมล็ดกาแฟที่ผ่านการบดและตวงแล้วจะถูกใส่ลงในท่อบน รินน้ำร้อนตามลงไป ใช้ด้ามคน และปิดท่อด้วยกระดาษกรองกับฝาตะแกรง พอได้เวลาก็จับท่อบนพลิกใส่แก้ว แล้วกดอีกท่อลงมาเหมือนเข็มฉีดยาเพื่อรินกาแฟ เห็นได้ชัดว่ามีแรงดันอากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งข้อดีของแอโรเพรสคือพกพาสะดวก เพราะเป็นพลาสติกเกือบทั้งหมด ถ้าไปเที่ยวนานๆ ก็ใส่กระเป๋าเดินทางไปได้เลย
กาแฟไนโตร (Nitro Cold Brew)
กาแฟกับเบียร์เหมือนพี่น้องต่างเลือดที่มักมีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่าง Coffee Stout ในคราฟต์เบียร์ที่มีส่วนผสมกาแฟเป็นตัวชูโรงเพิ่มความเข้มข้นแปลกใหม่ในบอดี้ ส่วนกาแฟไนโตร (Nitro Cold Brew) นั้นเริ่มได้รับความนิยมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งในหมู่นักดื่มและคอกาแฟที่ชื่นชอบความแปลกใหม่
กาแฟไนโตรชงเหมือนกาแฟสกัดเย็น แต่จะทำในปริมาณที่มากกว่าหลายเท่า จากนั้นจึงอัดไนโตรเจนเข้าไปคล้ายระบบเบียร์ ทำให้มีฟองนุ่มเหมือนฟองเบียร์ วิธีเสิร์ฟนั้นถอดแบบมาจากคราฟต์เบียร์เป๊ะๆ ก็คือเปิดจากแท็ปรินใส่แก้ว กาแฟไนโตรเหมาะกับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟและชอบเบียร์สด เพราะจะดึงรสชาติและกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟมานำเสนอและเสิร์ฟในเท็กซ์เจอร์ปนฟองนุ่มๆ คล้ายเบียร์ในเวอร์ชันที่ไม่มีแอลกอฮอล์นั่นเอง เราไม่แนะนำให้ทำกาแฟไนโตรเองที่บ้าน เพราะความยุ่งยากเรื่องการอัดแก๊ส
เครดิต : https://themomentum.co/happy-feature-brew-coffee-guide/
เครดิต : https://bluemochathailand.com/coffee-brewing-method/